วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การขุดต้นกล้วยต้นอ้อยสำหรับให้คู่บ่าวสาวใช้ปลูกร่วมกัน

ต้นกล้วยต้นอ้อย ที่ใช้ในขบวนขันหมากนั้น การขุดต้องให้ติดรากหรือ มีตาและเลือกเอา ต้นหรือหน่อที่สมบูรณ์ โดยขุดมาเป็นคู่ นำมาประดับตกแต่งด้วยกระดาษสีให้ดูสวยงาม ซึ่งเจ้าบ่าวเจ้าสาว จะต้องทำการปลูกร่วมกัน คล้ายกับเป็นการเสี่ยงทายอย่างหนึ่ง ซึ่งหากต้นกล้วยเจริญเติบโตออกดอกออกผลสมบูรณ์ และต้นอ้อยเติบโต หอมหวาน เชื่อกันว่าความรักของหนุ่มสาวคู่นี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง ความรักจะสดชื่อ หอมหวานอยู่มิรู้คลาย ฐานะความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ ก็สมบูรณ์พูนสุข

      ในสมัยโบราณหรือบางท้องถิ่น อาจมีต้นไม้อื่น ๆ นำมาให้คู่บ่าวสาวปลูกร่วมกัน เช่น ต้นหมาก ต้นพลู เพราะเมื่อก่อนนั้น ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีไว้ทุกบ้าน รวมทั้งต้นมะพร้าวที่เพิ่งจะงอกออกมาจากผลแก่ ซึ่งถือเกล็ด ในเรื่องความเจริญงอกงามก้าวหน้านั่นเอง นอกจากนี้ยังมีพวกถั่วงา ข้าวเปลือก และอื่น ๆ ฯลฯ แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้ว นอกจากการปลูกต้นกล้วย ต้นอ้อยร่วมกัน ที่ยังนิยมทำอยู่

     เมื่อคนของฝ่ายเจ้าบ่าว ยกขบวนขันหมากมาถึงบ้านฝ่ายเจ้าสาวแล้ว จะไม่ยอมมอบต้นกล้วยต้นอ้อย ให้โดยง่าย อาจถือหรืออุ้มถ่วงเอาไว้ จนกว่าจะได้น้ำมารด เพื่อความเจริญงอกงาม บางทีก็ใช้น้ำมนต์หรือน้ำฝนสะอาด แต่น้ำที่ผู้อุ้มต้องการมากที่สุดคือ สุรา ดังนั้นในวันยกขันหมาก พวกคอสุราจะจับจอง หรือขออาสาเป็นคนอุ้ม ต้นกล้วย ต้นอ้อย เพราะนอกจากจะได้น้ำอมฤตแล้ว ยังได้พูดจาหยอกเย้าต่อรองกับคนของฝ่ายเจ้าสาว เป็นที่สนุกสนาน ครื้นเครง

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

งานแต่งงาน การปลูกเรือนหอ

เมื่อการเจรจาสู่ขอเป็นที่ตกลง ครั้นเมื่อได้ฤกษ์ยามกำหนดการ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในสมัยโบราณฝ่ายชาย ต้องทำการปลูกเรือนหอหรือสร้างรังรักสำหรับครอบครัวของตน ซึ่งควรปลูกให้เสร็จก่อนวันแต่งงาน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าคนไทยสมัยโบราณ เว้นระยะจากการหมั้นค่อนข้างนานจึงจะทำการแต่งงานอยู่กินกัน จึงมีเวลาปลูกเรือนหอได้ทัน

   สำหรับในสมัยปัจจุบัน หากมีทุนรอนอยู่บ้าง การหาเรือนหอ คงไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรนัก อาจใช้วิธีจ้างปลูก หรือหาซื้อผ่อนไว้สักหลังหนึ่ง เพราะมีบ้านจัดสรรให้เลือกหลายโครงการ แต่งงานแล้ว สองคนสามีภรรยา ช่วยกันผ่อนไปชั่วระยะหนึ่ง ก็จะได้เป็นกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์
    แต่หากยังไม่พร้อม เมื่อแต่งงานแล้ว อาจขออาศัยอยู่ในบ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิง หรือฝ่ายชายสักระยะหนึ่ง จึงค่อยหาทางขยับขยายต่อไปในภายหลัง
    ในสมัยโบราณนั้น การปลูกเรือนหอ อาจทำในที่ดินของฝ่ายหญิง หรือที่ดินของฝ่ายชายก็ได้ แต่ค่าใช้จ่าย ในการปลูกสร้างฝ่ายชาย เป็นผู้ออกทั้งหมด หรือร่วมกับฝ่ายหญิง เรื่องนี้แล้วแต่ตกลง บางทีพ่อแม่ ของฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง มีบ้านหลายหลังในบริเวณเดียวกัน ก็ยกให้เป็นเรือนหอเสียหลังหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เมื่อแต่งงานแล้ว ฝ่ายชายมักจะย้ายไปอยู่หรือไปปลูกบ้านอยู่กับฝ่ายหญิงมากกว่า